Last updated: 17 มี.ค. 2563 | 1931 จำนวนผู้เข้าชม |
สธ.พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มอีก 30 ราย สะสมแล้ว 177 ราย รอยืนยันอีก 22 ราย ปลัดสธ. เผยให้กรมควบคุมโรค ปักหมุดจุดพบผู้ติดเชื้อไวรัสฯ ในกทม. หลังข้อมูลระบุ 80-90% มีภูมิลำเนาเมืองหลวง
วันที่ 17 มีนาคม 2563 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 พบว่า มีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เพิ่ม 30 ราย (รายที่ 148-177) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเก่าที่มีการติดตามตัวมาตรวจหาการติดเชื้อและมีผลยืนยัน คือ สนามมวย (ลุมพินี ราชดำเนิน อ้อมน้อย) ทั้งหมด 11 ราย สถานบันเทิงย่านทองหล่อ 1 ราย และสัมผัสผู้ปวยรายเก่า 2 ราย
กลุ่มใหม่ คือ ผู้ป่วยรายใหม่กลับจากต่างประเทศ 9 ราย (คนไทย 6 ราย และชาวต่างชาติ 3 ราย) ผู้ทำงานใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ 1 ราย และกำลังรอการสอบสวนเพิ่มเติมอีก 6 ราย อย่างไรก็ตาม มีผู้รอตรวจสงสัยและรอยืนยัน 22 ราย
ขณะที่ผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 41 ราย มีอาการหนัก 1 ราย รับการรักษาตัวอยู่ที่ รพ.บำราศนราดูร ส่วนผู้ป่วยเดินทางกลับมาจากอิตาลี 83 ราย พบว่ามี 6 ราย รับการรักษาอยู่ที่ รพ. อีก 77 ราย ไม่พบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรุงเทพฯ พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสฯ จำนวนมาก จึงมอบให้กรมควบคุมโรค โดยกองระบาดวิทยา ทำแผนที่ สถานที่ แขวง เขต ที่พบผู้ป่วยในกทม. ซึ่งจะเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ เพื่อตรวจสอบว่ามีพื้นที่ใดบ้างที่พบการติดเชื้อไวรัศ เช่น สนามมวย หรือสถานบันเทิงต่าง ๆ โดยเฉพาะย่านทองหล่อ ส่วนร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า ยังไม่พบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดเตรียมแผนรองรับ โดยสังเกตว่า ผู้ป่วยร้อยละ 80-90 มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จึงมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ปริมณฑล จัดหาโรงพยาบาลในพื้นที่ดังกล่าวไว้ หากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น จะกลับบ้าน จะมีการจัดที่พักหอผู้ป่วยเฉพาะทางเดินหายใจที่ได้รับมาตรฐานกรมควบคุมโรค พร้อมเปิดบริการได้ทันที จำนวน 234 เตียง และจะขยายจำนวนเตียงในอนาคต
นอกจากนี้ยังทำหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องในการดูแลเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร คือ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ทุกคน เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ แพทย์ใหญ่กรมตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งหมด มาจัดทำแผนร่วมกันที่กระทรวงกลาโหม เพื่อรองรับผู้ป่วยที่จะเพิ่มจำนวน และจะมีการประชุมในวันที่ 20 มีนาคม 2563 เตรียมระบบการส่งต่อเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกในการเข้าถึงการบริการ