Last updated: 12 ธ.ค. 2560 | 2833 จำนวนผู้เข้าชม |
ไทยทีวี โล่ง! ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น คุ้มครองชั่วคราว ส่งผล กสทช.ห้ามยึดหลักทรัพย์ค้ำประกันของ ธนาคารกรุงเทพ ที่ บ.ไทยทีวี วางค้ำประกันไว้งวด 4-6 รวมมูลค่า 1,075 ล้านบาท ระหว่างที่คดียังไต่สวนไม่แล้วเสร็จ
วันที่ 1 มิถุนายน 2560 ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ : ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ที่มีคำสั่งให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระงับการดำเนินการบังคับตามหนังสือค้ำประกันของธนาคาร ที่บริษัท ไทยทีวี จำกัด ของนางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ “ติ๋ม ทีวีพูล" ที่นำมาวางค้ำประกันการชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ในงวดที่เหลือ จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องหลังจากศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องที่บริษัท ไทยทีวี จำกัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ยื่นฟ้อง กสทช. ว่าไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือแผนแม่บท และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในการเชิญชวนให้เข้าร่วมประมูลโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล และบริษัท ไทยทีวีฯ ได้ขอยกเลิกใบอนุญาตและเลิกประกอบกิจการไปแล้ว ซึ่ง กสทช.มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตและเรียกบริษัท ไทยทีวีฯ ชำระค่าธรรมเนียมที่ค้างชำระ จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต และให้ กสทช.คืนเงินค่าธรรมเนียมที่บริษัท ไทยทีวีฯ ชำระไปแล้วจำนวน 365,512,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
รวมทั้งระงับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมงวดที่เหลือ 3-6 จำนวนประมาณ 1,364,800,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และเรียกค่าเสียหาย 713,828,282.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ไว้พิจารณา และมีคำสั่งคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ กสทช.ระงับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมงวดที่ 3-6 และห้ามดำเนินการเพื่อบังคับตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด (มหาชน) ที่บริษัท ไทยทีวีฯ นำมาวางไว้แก่กสทช. จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทาง กสทช.จึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวดังกล่าว
โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ระบุว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่า บริษัทไทยทีวีฯ ไม่ได้ประกอบกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิตอลตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และคดีมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าบริษัท ไทยทีวีฯ หรือ กสทช. ปฏิบัติผิดข้อตกลงหรือสัญญาที่มีต่อกัน สำหรับ กสทช.นั้น จะมีสิทธิเรียกให้ธนาคารชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันก็เฉพาะแต่ในกรณีที่ กสทช.ไม่ได้ผิดข้อตกลงหรือสัญญาเท่านั้น ซึ่งกรณีบริษัท ไทยทีวีฯ หรือ กสทช. เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหรือสัญญาเป็นปัญหาที่ศาลจะต้องวินิจฉัยต่อไป กสทช.จึงยังไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ธนาคารชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันเสมือนบริษัท ไทยทีวีฯ เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหรือสัญญาได้
เนื่องจากหากดำเนินการไปแล้วธนาคารย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับบริษัท ไทยทีวีฯ ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นได้ ซึ่งมีผลเท่ากับบริษัท ไทยทีวีฯ เป็นฝ่ายแพ้คดีทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล การใช้สิทธิของ กสทช. จึงเป็นการกระทำซ้ำและกระทำต่อไป ซึ่งการผิดสัญญา และการที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว มีผลเพียงทำให้ กสทช.ยังไม่ได้รับเงินค่าธรรมเนียมในทันทีเพื่อนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินเท่านั้น ซึ่งตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตก็ได้กำหนดให้ชำระค่าธรรมเนียมเป็นงวดๆ อยู่แล้ว
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ที่มีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ภาพข่าว : http://www.thaipost.net