Last updated: 1 พ.ย. 2565 | 3591 จำนวนผู้เข้าชม |
เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา 'สุนทร ร่มเย็น' อดีตหัวหน้างานบริการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปราจีนบุรี เบียดบังเงินค่าลงทะเบียน-เทียบโอนหน่วยกิต-ตำราเรียนวิชากฎหมาย ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ล่าสุดศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 2 พิพากษาลงโทษจำคุก 60 เดือน แต่รอลงอาญา หลังเจ้าตัวรับสารภาพ ปรับอีก 100,000 บาท
เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าคดีกล่าวหา นายสุนทร ร่มเย็น เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศึกษา 4 หัวหน้างานบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยาบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดปราจีนบุรี เบียดบังเงินค่าลงทะเบียน ค่าเทียบโอนหน่วยกิต และค่าตำราเรียนวิชากฎหมาย ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
หลังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 11 ประกอบ ปอ. มาตรา 90 และมาตรา 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา
ข้อมูลคำพิพากษาคดีนี้ พบว่ามีการระบุพฤติการณ์การกระทำความผิดของ นายสุนทร ร่มเย็น แนวคำวินิจฉัยคดีของศาลฯ ไว้ดังนี้
@ สถานะบทบาทหน้าที่จำเลย
คำฟ้องโจทก์ (อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 2 ฟ้องคดีให้ ป.ป.ช.) ระบุว่าคดีนี้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นผู้เสียหาย
ขณะเกิดเหตุนายสุนทร ร่มเย็น ดํารงตําแหน่ง นักวิชาการศึกษา 4 และหัวหน้างานบริการการศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยรามคําแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปราจีนบุรี มีหน้าที่และรับผิดชอบงานบริการการศึกษา ส่งเสริมพัฒนาทางวิชาการ ดูแลประสานงานเกี่ยวกับตําราเรียนระดับปริญญาตรีและระดับ บัณฑิตศึกษา แนะแนว บริการทางวิชาการ ดําเนินการลงทะเบียนให้คําปรึกษาและแนะนํานักศึกษา ในเรื่องการเรียนการสอน การเทียบโอนหน่วยกิต การแจ้งผลการสอบ งานทะเบียน ประเมินผล การศึกษา งานกิจกรรม และสวัสดิการนักศึกษา รวมถึงการรับเงินค่าลงทะเบียนเรียน ค่าเทียบโอน หน่วยกิตจากนักศึกษา และค่าจําหน่ายตําราเรียนให้แก่นักศึกษา แล้วนําเงินส่งให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงส่วนกลาง
และยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานการเรียนการสอน ระดับ ปริญญาตรี สาขานิติศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษ ของโครงการหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษ
นายสุนทร จําเลยจึงมีหน้าที่รับผิดชอบโครงการดังกล่าวและรับเงินค่าลงทะเบียนเรียน ค่าเทียบโอน หน่วยกิตจากนักศึกษา ค่าจําหน่ายตําราเรียนวิชากฎหมายให้แก่นักศึกษา และนําเงินดังกล่าว ฝากเข้าบัญชีส่งให้โครงการหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหงส่วนกลางทันที
หากนําฝากไม่ทันต้องเก็บไว้ในตู้นิรภัยแล้วนําเข้าฝากในวันรุ่งขึ้น
นายสุนทร จําเลย จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และมีฐานะเป็นพนักงาน ตามมาตรา 3 แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502
@ พฤติการณ์กระทำความผิด
เมื่อระหว่างวันที่ 19 ตุลาคม 2550 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2552 จำเลยได้รับเงินค่าเทียบโอนหน่วยกิต ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าจําหน่ายตําราวิชากฎหมายที่นักศึกษานํามาชําระให้แก่ผู้เสียหายไว้ จํานวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 451,305 บาท แล้วเบียดบังเอาเงินไว้เป็นประโยชน์ของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อก่อให้เกิดความเสียหาย
หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้รับเงินจํานวน 451,305 บาท ดังกล่าวคืนจากจําเลยแล้ว
จําเลยให้การรับสารภาพ
@ ข้อเท็จจริงทางการสอบสวน
เมื่อประมาณปี 2548 สาขาจังหวัดปราจีนบุรี ได้เปิดการเรียนการสอน โครงการนิติศาสตรบัณฑิตภาคพิเศษขึ้น สําหรับนักศึกษาภาคปกติจะต้องชําระเพียงค่าลงทะเบียนเรียน ส่วนนักศึกษาภาคพิเศษจะต้องชําระค่าเทียบโอนหน่วยกิตด้วย
ในการรับลงทะเบียนเรียนของนักศึกษาในแต่ละครั้งนั้น นาย พ. (อักษรย่อ) เจ้าพนักงานปฏิบัติการโครงการภาคพิเศษ คณะนิติศาสตร์ ประจําอยู่ที่ส่วนกลาง จะกําหนดช่วงเวลาไว้แล้วแจ้งไปยังสาขาจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อถึงกําหนดเวลาก็จะเดินทางไปรับลงทะเบียนจากนักศึกษา แล้วนําเงินหรือเช็คที่ได้รับจากการรับลงทะเบียนกลับไปที่ส่วนกลางเพื่อออกใบเสร็จรับเงินตัวจริงแล้วส่งให้แก่นักศึกษาที่มาลงทะเบียนในภายหลังรวมทั้งเงินค่าเทียบโอนหน่วยกิตและค่าตําราเรียนด้วย
สําหรับเงินค่าลงทะเบียนเรียนแต่ละภาคการศึกษา นาย พ. จะนําไปชําระที่สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) ส่วนค่าเทียบโอนหน่วยกิต ของนักศึกษาภาคพิเศษนั้นจะชําระที่ส่วนการคลังของมหาวิทยาลัยผู้เสียหายที่ตั้งอยู่ที่ส่วนกลาง
หากนักศึกษาคนใดไม่พร้อมที่จะลงทะเบียนในช่วงเวลาที่กําหนดไว้ก็สามารถที่จะฝากเงินไว้กับเจ้าหน้าที่สาขาในภายหลังก็ได้ เพื่อส่งมอบเงินให้แก่นาย พ. ทั้งนี้เป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่นักศึกษาเท่านั้นไม่มีการมอบหมายหน้าที่กันเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด จากนั้นนาย พ. จะนําเงินส่งมอบต่อให้แก่ สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบการประเมินผลและการคลัง ตามแต่ประเภทของเงินรายได้
ส่วนเงินค่าจําหน่ายตําราเรียนนั้น นาย พ. จะเดินทางไปรับที่สาขาจังหวัดปราจีนบุรีในวันที่ไปคุมสอบ แล้วนําส่งมอบต่อให้แก่สํานักพิมพ์ที่อยู่ส่วนกลางของผู้เสียหายต่อไป
ในช่วงเวลาเกิดเหตุ มหาวิทยาลัยผู้เสียหายมี คําสั่งแต่งตั้งนาง จ. เป็นหัวหน้าสํานักงานสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปราจีนบุรี มีอํานาจรับผิดชอบดูแลรวมทั้งด้านการเงินและการบัญชี และเป็นหัวหน้างานบริหารและธุรการ กับแต่งตั้งจําเลยเป็นหัวหน้างานบริการการศึกษา
จําเลยได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบโครงการหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษ ในทางปฏิบัตินักศึกษาภาคปกติจะชําระค่าลงทะเบียนเรียนให้แก่เจ้าหน้าที่คนใดก็ได้ที่ประจําอยู่ที่สาขาจังหวัดปราจีนบุรี ไม่จํากัดว่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของส่วนงานการบริการการศึกษาเท่านั้นแล้วจะออกใบเสร็จรับเงินได้ทันที
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนําส่งเงินให้แก่ฝ่ายการเงินแล้วเก็บไว้ในตู้เซฟเพื่อโอนเข้าบัญชีของมหาวิทยาลัยส่วนกลางของผู้เสียหาย แต่หากเป็นนักศึกษาโครงการนิติศาสตรบัณฑิตภาคพิเศษจะต้องชําระให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนงานบริการการศึกษาเท่านั้นเพราะเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแล โดยเจ้าหน้าที่จะออกใบรับเงินชั่วคราวให้กับนักศึกษาเก็บไว้เป็นหลักฐานจากนั้นจะส่งมอบเงินให้แก่นาย พ. เพื่อรับไปดําเนินการ
แต่หลังจากจําเลยได้รับเงินค่าเทียบโอนหน่วยกิต ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าจําหน่ายตําราวิชากฎหมาย จากนักศึกษาที่นํามาชําระให้แก่ผู้เสียหาย รวม 10 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้นจํานวน 451,305 บาท แล้วไม่นําเงินโอนเข้าบัญชีส่งให้แก่นาย พ. เพื่อดําเนินการชําระให้แก่ผู้เสียหายที่ส่วนกลาง
ต่อมาเมื่อเดือนมีนาคม 2552 นาย พ. เดินทางไปคุมสอบที่สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดปราจีนบุรีพบว่ายังมีนักศึกษาที่ไม่ได้ชําระเงินค่าลงทะเบียน
เมื่อสอบถามแจ้งว่าชําระเงินให้แก่จําเลยไปแล้วและทวงถามใบเสร็จ
นาย พ. ตรวจสอบแล้ว จึงพบการกระทําความผิดและรายงานผู้บังคับบัญชา
ต่อมาผู้เสียหายตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและเรียกเงินคืน
จากนั้นจําเลยนําเงินทั้งหมดมาคืนแก่ผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้ว
@ คำให้การพยาน
จากคำให้การของ นาย พ. ระบุว่า หากนักศึกษาคนใดไม่พร้อมที่จะชําระค่าลงทะเบียนในช่วงเวลาที่กําหนดไว้ ก็สามารถฝากเงินไว้กับเจ้าหน้าที่สาขาภายหลังก็ได้ เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้เท่านั้น สอดคล้องกับคำให้การของพยานอีก 2 ปาก ที่ยืนยันว่า การรับเงินของจําเลยไม่มีคําสั่งแต่งตั้ง แต่เป็นแนวที่เคยปฏิบัติกันมา
ย่อมมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับเงินจากนักศึกษาโครงการนี้คือนาย พ.
ส่วนการที่จําเลยรับเงินจากนักศึกษาเอาไว้นั้นเป็นเพียงการช่วยการอํานวยความสะดวกแทนนาย พ.เท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ของจําเลย แม้นาง ศ. อดีตหัวหน้างานบริการการศึกษา สาขาปราจีนบุรีให้ปากคําในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่า ขณะที่ตนดํารงตําแหน่ง หัวหน้างานบริการการศึกษาได้รับมอบหมายจากรองอธิการบดีฝ่ายวิทยบริการจังหวัดปราจีนบุรี ให้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการนิติศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในส่วนงานบริการการศึกษา ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ส่วนกลางรวมทั้งทําหน้าที่รับเงินลงทะเบียนจากนักศึกษาในช่วงที่มีการลงทะเบียนด้วย การมอบหมายดังกล่าวไม่ได้มีคําสั่งแต่อย่างใด
เห็นว่าการมอบหมายดังกล่าวไม่ได้มอบหมายเป็นคําสั่งของผู้เสียหายเช่นเดียวกับกรณีอื่นๆ ทั้งก็เป็นการมอบหมายหน้าที่ให้แก่นาง ศ. ไม่ใช่มอบหมายให้แก่จําเลย
จากพยานหลักฐานที่วินิจฉัยมาแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า จําเลยเป็นพนักงานมีหน้าที่ ซื้อ ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4
แม้ให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 155 ประกอบ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6
แต่อย่างไรก็ตาม การที่จําเลยซึ่งเป็นหัวหน้างานบริการการศึกษา มีหน้าที่ประสานงานดูแลการลงทะเบียน การเทียบโอนหน่วยกิต และตําราเรียน แล้วรับเงินค่าลงทะเบียน ค่าเทียบโอนหน่วยกิตและค่าตําราเรียนของนักศึกษาเอาไว้แล้ว ไม่นําไปประสานงานให้เรียบร้อยแต่กลับเบียดบังเอาไป
ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการประสานงานดูแลโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม มาตรา 11 เท่านั้น
ไม่ปรากฏว่าจําเลยเคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน ประกอบกับอายุมากแล้ว
หลังเกิดเหตุก็นําเงินมาคืนผู้เสียหายจนครบถ้วน
ในชั้นพิจารณาก็สํานึกผิดให้การรับสารภาพ สมควรลงโทษสถานเบา
แต่เห็นควรให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่งด้วย
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11
การกระทําของจําเลยเป็นความผิด 10 กรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ลงโทษจําคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม จําคุก 10 ปี ปรับ 200,000 บาท
จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78
คงจำคุก 60 เดือน และปรับ 100,000 บาท
โทษจําคุกให้รอไว้มีกําหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชําระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก