บก.ปคบ.-อย. ร่วมแถลงจับกุม ยาไม่ขึ้นทะเบียน-ผลิตภัณฑ์เสริมความงามผิดกฎหมาย

Last updated: 19 ก.ย. 2562  |  5814 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บก.ปคบ.-อย. ร่วมแถลงจับกุม ยาไม่ขึ้นทะเบียน-ผลิตภัณฑ์เสริมความงามผิดกฎหมาย

อย. - บก.ปคบ. ขยายผลจับกุมเครือข่ายนำเข้าโบท็อกซ์ - ฟิลเลอร์ ลักลอบขายและจำหน่าย สินค้าเสริมความงามจากต่างประเทศ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

"ทลายแก๊งเครือข่ายลักลอบนำเข้า โบท็อกซ์ - ฟิลเลอร์ หลายยี่ห้อ ลักลอบจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน LINE ชื่อ TID - KHEM เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ เสี่ยงได้รับอันตราย และเสียโฉมได้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตรวจพบยาที่ไม่ขึ้นทะเบียน และสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า"

วันที่ 19 กันยายน 2562 นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมด้วย นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผู้บังคับการ บก.ปคบ. พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผู้กำกับการ 4 บก. ปคบ. ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ธีรภพ พันธุชาติ พร้อมทีมงาน ร่วมกันนำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย บ้านเลขที่ 141/516 ชั้น 27 คอนโด เบลล่า เอเวนิว ถนนพระราม 9 แขวง/เขต ห้วยขวาง กรุงเทพฯ

โดยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า กรณีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังเข้าจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 ได้มีการแถลงข่าวจับกุมเครือข่ายบริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาละเมิดเครื่องหมายการค้าในพื้นที่เป้าหมาย ลักษณะเป็นห้องคอนโดมิเนียมที่ใช้เป็นแหล่งพักสินค้า จำหน่ายให้กับลูกค้าหลายกลุ่ม หลังจากนั้นได้มีการขยายผลสืบสวนแกะรอยเส้นทางการกระทำผิดจนกระทั่งพบเบาะแสใหม่ ซึ่งเป็นข้อมูลผู้ที่ลักลอบขาย ฟิลเลอร์ ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน LINE ชื่อ
TID - KHEM เพื่อทำการติดต่อซื้อโบท็อกซ์ และฟิลเลอร์

พร้อมทั้งยังได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อทำการสืบสวนเชิงลึก จนกระทั่งพบต้นตอ ของผู้ที่กระทำความผิด จึงนำไปสู่การเข้าตรวจค้นเป้าหมาย โดยการตรวจค้นในครั้งนี้ พบของกลางแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. ยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา เช่น วิตามินบีรวมชนิดฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์
  2. กลุ่มยาไม่มีทะเบียน เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ คอลลาเจน กลูตาไธโอน วิตามินซีไลโป
  3. เครื่องสำอางที่ไม่แสดงฉลากภาษาไทย และเครื่องสำอางที่แสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง

การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมาย ดังนี้

พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510

  • นำเข้าและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • นำเข้าและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท


พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558

  • จำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่แสดงฉลากภาษาไทยและเครื่องสำอางที่แสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534

  • จำหน่ายเสนอจำหน่ายมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • จำหน่ายเสนอจำหน่ายมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560

  • นำเข้าของที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้าย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศุลกากร โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับ 4 เท่า ของราคาของ ที่รวมค่าอากรด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับและริบของนั้นด้วย

 

ด้านนายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวต่อไปว่า อย. พร้อมร่วมมือกับทาง บก.ปคบ. กวาดล้างยาไม่มีทะเบียนตำรับยา และ สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ทราบว่าผลิตที่ใด สถานที่ผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ ตัวยาเป็นตัวยาจริงหรือไม่ อาจมีการปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย การเก็บรักษาไม่อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม อาจส่งผลต่อคุณภาพของตัวยาที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยขอย้ำเตือนไปยังผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และสถานพยาบาลทุกแห่ง ทั้งแพทย์ผิวหนังแพทย์ศัลยกรรม แพทย์ด้านความงาม จะต้องปฏิบัติ ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพต้องใช้ยาที่มีทะเบียนตำรับยา และให้การบริการเป็นไปตามมาตรฐานด้วย หากพบ การกระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีพบแพทย์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง จะต้องถูกส่งไปยังแพทยสภาให้ดำเนินการเอาผิด ทางจรรยาบรรณแพทย์ต่อไป

ด้าน พล.ต.ต. ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ ผู้บังคับการ บก.ปคบ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การปราบปรามผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นับเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะในการบูรณาการ และสนธิกำลังร่วมกันเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ ได้ตรวจยึดสินค้า ที่เป็นยา และผลิตภัณฑ์เสริมความงามจำนวนมาก ซึ่งสินค้าดังกล่าวมีผลกระทบต่อสุขภาพและอนามัยของผู้บริโภคโดยตรง ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะอาจกระทบต่อการตัดสิทธิพิเศษทางการค้าทำให้สินค้าของไทยบางรายการไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ ตามมาตรา 301 พิเศษ ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในระดับ Watch List (WL) ซึ่งมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากทุกบัญชีที่ถูกจับตามองของต่างประเทศ และพร้อมที่จะประสานให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ หรือภาคเอกชน โดยจะร่วมมือกันปราบปรามผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเตือนประชาชนโดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งรุ่นเล็ก และรุ่นใหญ่ ให้ระมัดระวังการเข้ารับบริการ หากมีความประสงค์ ที่จะฉีดสารใด ๆ เพื่อความสวยงาม ควรเข้ารับบริการฉีดกับสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล ตามกฎหมาย เลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและต้องอยู่ประจำ ก่อนการฉีดควรสอบถามและขอดูตัวยาที่ใช้ว่ามีการอนุญาตขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจาก อย. หรือไม่ และขอย้ำเตือนไปยังผู้บริโภคอย่าซื้อยาไปใช้เอง หรือฉีดกับหมอเถื่อน อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เพราะการฉีดยาบนใบหน้าต้องดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความรู้ ด้านกายวิภาคบนใบหน้าเป็นอย่างดี เนื่องจากบนใบหน้ามีกล้ามเนื้อเล็ก ๆ และเส้นเลือดมากมาย จึงต้องฉีด ด้วยความระมัดระวัง หากเกิดอันตรายจากการแพ้ ทางสถานพยาบาลจะได้รับผิดชอบและช่วยเหลือได้ทันท่วงที

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้