รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560

Last updated: 12 ธ.ค. 2560  |  1364 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 เวลา 20.15 น.
-------------------------

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

ในโอกาสเปิดภาคการศึกษาใหม่ ประจำปี 2560 นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยนักเรียน นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ที่ผ่านมา โดยได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 40 ล้านบาท ประกอบด้วย “ทุนการศึกษา”จำนวน 27 ทุน

เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษา, ค่าครองชีพ, ค่าหอพัก และค่าอุปกรณ์การศึกษาแก่เด็กนักเรียน นักศึกษาที่มีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย อีกส่วนหนึ่ง สำหรับจัดหา “โต๊ะ–เก้าอี้พระราชทาน” ที่จะทยอยส่งมอบให้สถานศึกษาระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ใน 10 จังหวัดที่ประสบภัย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ แก่วงการการศึกษาของประเทศนะครับ

ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลปัจจุบัน ที่ได้ทรงมอบพระบรมราโชบายด้านการศึกษาผ่านองคมนตรี ใจความตอนหนึ่งว่า “...ให้แนะนำมหาวิทยาลัยราชภัฏ ให้ทำงานให้เข้าเป้าในการยกระดับการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นในท้องที่ตน...”

แสดงให้เห็นชัดเจนว่าตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรให้กับบัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนั้น ทรงสนพระทัยระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาอันเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ โดยทอดพระเนตรเห็นถึงศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาเป็นอย่างดี และทรงเข้าพระทัยอย่างลึกซึ้ง

ถึงแก่นแท้ของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งผลิตครูที่มีคุณภาพ เป็นแหล่งความรู้วิชาการและเป็นปราชญ์แห่งการพัฒนาท้องถิ่น ที่จะสามารถเข้าถึงต้นตอแห่งปัญหา ของพสกนิกรของพระองค์ในแต่ละท้องที่ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนมีความรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์

ผมได้รับรายงานว่าที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎได้มีการปรับยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฎ “ใหม่” ระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 ถึง 2579 ซึ่งได้น้อมนำพระบรมราโชบายดังกล่าว มาเป็นยุทธศาสตร์หลัก มุ่งให้มหาวิทยาลัยราชภัฎ ทั้ง 38 แห่งทั่วประเทศสามารถเป็น “แกนนำ” ในการพัฒนาท้องถิ่น ตลอดจนผลิตและพัฒนาครู และยกระดับคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เป็นอย่างดี

ที่ผ่านมา พบว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏบางแห่งได้ดำเนินการให้เห็นผลแล้ว และบางแห่งก็กำลังเพิ่งเริ่มนะครับ ส่วนบางแห่งที่ยังไม่เคยดำเนินการ ก็ถึงเวลาแล้วนะครับ ที่เราจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันสร้างผลสัมฤทธิ์ให้เป็นรูปธรรมสำหรับการพัฒนาท้องถิ่น และการพัฒนาประเทศตามลำดับ

อีกทั้ง เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงห่วงใยพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ขอให้นำองค์ความรู้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมีอยู่ เข้าไปช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นให้ตรงจุด ตรงความต้องการอย่างเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาด้วย นะครับ

ตัวอย่างผลการดำเนินการ ที่เรียกว่า “พันธกิจสัมพันธ์กับการรับใช้สังคม” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่เข้าไปคลุกคลีกับพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นมาเกือบ 20 ปี จนเกิดเป็นความร่วมมือระหว่างคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย 8 คณะ กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น 25 พื้นที่ ในการแก้ปัญหาในท้องที่อย่างตรงเป้าหมาย ตรงกับความต้องการ แบบบูรณาการ

เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่ได้ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล และพลังงานจังหวัด เข้าไปให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชนในหมู่บ้านที่ประสบปัญหา มีจำนวนวัวหนาแน่นจนได้รับผลกระทบจากมูลวัวจำนวนมาก โดยได้สอนหลักเศรษฐศาสตร์ในการบริหารจัดการเบื้องต้น ประกอบกับการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เปลี่ยนมูลวัวให้เป็นแก๊สชีวภาพ เพื่อใช้หุงต้มในครัวเรือน ช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิง ลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้อีกด้วย

นับเป็นแบบอย่างที่ดี ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่น่าชื่นชม ก็ขอให้หน่วยงานภาครัฐนะครับ ทั้งกระทรวง มหาดไทย, กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงแรงงาน,กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นๆ ได้ให้ความสำคัญกับการนำองค์ความรู้ โดยเฉพาะองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ และสถาบัน อุดมศึกษาที่มีศักยภาพในพื้นที่ ที่สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย เพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบาย และบรรลุตามความมุ่งหวังของรัฐบาลได้อีกทางหนึ่งด้วยนะครับ

อีกตัวอย่างหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ ในด้านการศึกษา ก็คือ ได้มีการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็น “การใช้สีกำหนดขั้นตอนการอ่าน” สำหรับวิชาด้านภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ของครูในโรงเรียนบ้านหนองแก อำเภอ.วังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ที่ส่งผลให้คะแนนสอบของนักเรียนเพิ่มสูงขึ้น ติดระดับประเทศ โดยเฉพาะคะแนนสอบโอเน็ต

ซึ่งโรงเรียนอื่นๆ ในพื้นที่ ก็ได้นำวิธีการดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อขยายผล ผมเองนั้นก็เห็นว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสอนที่เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม, มีประสิทธิภาพและสามารถใช้เป็นแบบอย่างได้ หรือให้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้อีกด้วยนะครับ ก็ขอให้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ก็อยากจะยกเป็นกรณีศึกษานะครับ แล้วก็สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไปแล้ว ให้กระทรวงศึกษาธิการศึกษา ได้ขยายผลแนวทางการสอนนี้ หรือแบบอื่นๆ อีกด้วยนะครับ ที่เป็นประโยชน์

โดยให้หาข้อมูลเพิ่มเติม จากการรวบรวมแนวทางการสอนที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับบริบทของคนไทยและสังคมไทยนะครับ เพื่อนำไปเผยแพร่ให้กับครูในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วยต่อไป

ผมเห็นว่า “การคิดนอกกรอบ” นั้นเป็นการคิดสร้างสรรค์ ที่มีความสำคัญอย่างมาก ในสภาพแวดล้อมของโลก ยุคศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นการยกระดับการศึกษาของประเทศ และ เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน ได้เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ ในการที่เราจะก้าวไปสู่ “การศึกษาไร้พรมแดน” รัฐบาลจึงได้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างเช่น “โครงการอินเตอร์เน็ตประชารัฐ ทุกหมู่บ้าน”

ซึ่งรัฐบาลนี้ เร่งดำเนินการอยู่ 25,000 หมู่บ้าน ในปีนี้ และอีก 15,000 หมู่บ้านในอนาคตนะครับ เรามีอยู่แล้ว 30,000 กว่าหมู่บ้านนะครับ ทั้งหมดมี 70,000 กว่าหมู่บ้าน เดี๋ยวจะเข้าใจว่าทำไมทำช้า มีอยูแล้วนะครับ ส่วนที่ขาดเราก็จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนะครับ อีกแนวความคิดหนึ่ง ก็คือ การส่งเสริมการจัดตั้งสถาบันการศึกษา โดยให้มีการลงทุนจากต่างประเทศ อีกด้วยนะครับ อาทิเช่น จากประเทศที่เจริญแล้ว หรือจากสถาบันที่ประสบความสำเร็จมาก่อนนะครับ

อาจเป็นการจัดตั้งมหาวิทยาลัย ในสาขาที่ประเทศไทยขาดแคลน แต่เป็นที่ต้องการ และโรงเรียนเอกชน ที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น นะครับ อย่าถือว่าจะเอาใครมาแย่งงานของเราเลยนะครับ เป็นระยะแรก เราต้องการสนับสนุนนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC นะครับ หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 10 แห่ง

 

พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ

การสะท้อนภาพรวม จากมุมมองของต่างประเทศ ในการทำงานของรัฐบาลและ คสช. ช่วง 3 ปี ที่ผ่านมานั้น นอกจากเราจะได้รับรู้ รับทราบ มาเป็นระยะๆ จากสถาบันต่างๆ ในหลากหลายมิติ “ส่วนใหญ่” ที่ทิศทางที่ดีขึ้นแล้วนะครับ ล่าสุดมีรายงานผลการจัดอันดับ “ประเทศที่ดีที่สุดในโลก” ประจำปี 2017 ของU.S.News สหรัฐอเมริกา ที่ชี้ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก (Best Countries to Start a Business) เป็นอันดับ 1 ติดต่อกัน 2 ปี

ทั้งนี้ ประเทศไทยเรา ยังได้รับการจัดอับดับเป็น “Top 10” ในอีกหลายด้าน เช่น ด้านการท่องเที่ยว, ด้านการเจริญเติบโตโดยภาพ และด้านวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังยกให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่โดดเด่นในเรื่องการเปิดโอกาสทางธุรกิจและการเริ่มต้นงานใหม่ รวมทั้ง เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับใช้ชีวิตยามเกษียณและมีคุณภาพชีวิตดี อีกด้วยนะครับ

ดังนั้นด้วยข้อมูลการจัดอันดับต่างๆ ที่ผ่านมาและล่าสุด ผมจึงไม่อยากที่จะกล่าวอะไรมากนัก เรื่องผลงาน มี หรือไม่มีนะครับ เพราะผลงาน ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีอะไรใหม่อย่างเดียว แต่ก็อยากให้ดูด้วยว่า เราจะต้องแก้ไขปัญหาประเทศอะไรบ้างที่สะสมมานาน อาทิเช่น การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ต้องทยอยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง, การปรับโครงสร้าง การบูรณาการ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมร่วม และการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อไปสู่จุดหมายอันเดียวกันนะครับ

แล้วจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกาทำงานของเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และวิธีบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการจัดทำโครงสร้างใหม่ๆ เพื่อจะเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง พร้อมมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ที่หลายคนอาจจะยังยึดติดอยู่ และยังไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ให้เงินช่วยเหลือมากๆ นะครับ คำพูดเหล่านั้น เป็นเพียงวาทะกรรม ที่หวังผลทางการเมืองในอนาคต มากกว่านะครับ

สิ่งที่ผมอยากเน้นย้ำอีกครั้ง ก็คือการแก้ปัญหาด้วยการให้เงินสนับสนุน เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น ซึ่งจำเป็นก็ยังทำอยู่นะครับ แต่ทำให้ถูกต้อง แต่การลงทุนเพื่ออนาคต โดยการให้ความรู้ เพิ่มเทคโนโลยี เปิดโอกาสและช่องทาง เพื่อเป็นทางเลือกของประชาชน “ทุกกลุ่มอาชีพ” รวมทั้ง เราจะต้องสร้างกลไกเพื่อสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากให้มากยิ่งขึ้น เหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวและยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกว่านะครับ แต่เราก็ไม่ลืมนะครับ ผู้มีรายได้น้อยเราจะทำยังไงนะครับ ก็ต้องหาวิธีการทำให้ได้เร็วที่สุดนะครับ

จะเห็นได้ว่า ด้วยความพยายามของรัฐบาลและ คสช. ในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง ให้ได้อย่างยั่งยืนนั้น เพื่อจะไปสู่วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ก็ นับว่าเป็นการเลือกทำในสิ่งที่ยาก ถ้าเราทำง่ายๆ ก็ไม่ทำแบบนี้นะครับ แต่ก็เป็นทางออกที่ดีกว่าที่ผ่านๆ มา อาทิเช่น ปัญหาการค้ามนุษย์, IUU, ICAO, การบุกรุกป่า, การจัดสรรที่ดินทำกิน, การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างบูรณาการ, การปราบปรามยาเสพติด,

การป้องกันการทุจริต, การสนับสนุนค้าขาย การส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เป็นต้น ซึ่งอาจจะทำให้ดูเหมือนว่า เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ไม่เหมือนมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน ที่ทันใจเพราะสัมผัสได้ ทำได้ง่าย และมีผลทางการเมืองโดยตรงนะครับ ผมก็ขอฝากฝ่ายการเมืองต่างๆ ไว้ด้วยนะครับ ขอให้ทบทวน ช่วยกันพิจารณาดูให้ดีนะครับ ว่าความจริงแล้วสังคมไทย เราต้องการการแก้ปัญหาแบบไหนนะครับ จึงจะนำพาประเทศหลุดพ้นกับดักต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ก็ต้องไปทั้งสองอย่างด้วยกันนะครับ

ตัวอย่างนโยบายที่จะช่วยแก้ปัญหาประเทศ “ที่ยั่งยืน” ได้แก่ การทำผังเมืองรวมจังหวัด “ทั่วประเทศ” แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการนะครับ ปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น ให้เสร็จโดยเร็ว สำหรับเป็นแผนแม่บท ที่ผ่านมามีความพยายามดำเนินการมากว่า 10 ปีแล้วนะครับ แต่ก็มีคืบหน้าในทางให้เกิดผลสัมฤทธิ์น้อยมากนะครับ ก็เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ แต่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ จากการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันนะครับ ต้องมีการปรับวิธีการ ปรับรูปแบบ ด้วยการให้ความรู้นะครับ แล้วก็ให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุดนะครับ จะได้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้มากยิ่งขึ้น ในช่วง 3 ปี ของรัฐบาลนี้ เราได้มีการทำของเดิมที่ค้างอยู่นะครับ ให้สำเร็จได้ในที่สุด แต่ยังคงให้มีการปรับปรุงต่อไป

วันนี้ได้มีการประกาศบังคับใช้ “เต็มพื้นที่” เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 นี้นะครับ แต่สิ่งสำคัญหลังจากนี้ คือ การบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือกัน ทั้งข้าราชการ เอกชน และพี่น้องประชาชน ที่จะต้องไม่ละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมืองรวมอีก ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกป่า การใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ หรือการก่อสร้างใดๆ ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ขวางเส้นทางไหลของน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น

สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจ ก่อนที่ คสช. เข้ามานั้น ประชาชนอาจจะไม่ได้รับการดูแลในทุกมิติ อย่างครบวงจร และไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นของระดับนโยบาย ในการกำกับดูแล หรือขาดการเอาใจใส่ สนับสนุนในการช่วยแก้ปัญหาให้กับระดับปฏิบัติการ และขาดแผนปฏิบัติการ ในระยะปานกลางและระยะยาว

ยิ่งกว่านั้น มีการสร้าง “ความต้องการเทียม” เพื่อให้เกิดการลงทุนในประเทศจนอาจจะ “อิ่มตัว” ที่เกินความต้องการ เกินความเป็นจริง ไม่ส่งเสริมขีดความสามารถในการผลิต หรือไม่มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มากนักนะครับ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ตั้งแต่ต้นทางการผลิต ในภาคเกษตรกรรมเอง ก็มีนโยบายบางอย่างที่ทำให้เกษตรกร อาจมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ต้องค่อยๆ แก้กันไปนะครับ อันนี้เป็นปัญหาเดิมๆ อยู่ แต่เราจะต้องมีการปรับรูปแบบ ในการใช้พื้นที่ ในเรื่องการเพาะปลูก ในเรื่องการทำเกษตรกรรม ทุกประเภทนะครับ

เช่น เราจะต้องไม่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว หันมาทำไร่นาสวนผสม, ลดการทำนาปรัง แล้วมาปลูกพืชชนิดอื่นๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น หรือการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่มีอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นหน้าฝน หน้าแล้ง เหล่านี้เป็นต้นนะครับ ซึ่งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ของกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง 882 ศูนย์ รวมทั้งเครือข่ายย่อยอีก 8,000 แห่งนะครับ ซึ่งต่อไปก็จะเป็นนับหมื่นกลุ่มนะครับ ก็กำลังขับเคลื่อนและให้คำแนะนำ ช่วยเหลืออยู่ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตนะครับ

นอกจากนี้ ที่ผ่านมานั้นเราอาจจะไม่มีการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับฐานรากของประเทศนะครับ ไม่ได้มีการเสริมสร้างความรู้เท่าที่ควร ไม่ได้มีการส่งเสริมการรวมกลุ่ม ไม่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะ “ลืมตาอ้าปาก หรือยืนบนขาของตนเองได้” ก็อาจจะช่วยตัวเองไม่ได้เสียทีนะครับ หนี้สินรุงรัง ก็เลยต้องรอแต่ความช่วยเหลืออย่างเดียวนะครับ ก็คาดหวังไปเรื่อยๆ นะครับ

เราต้องสร้างธุรกิจใหม่ เราต้องส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ ภาครัฐต้องส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ เร่งสร้างนวัตกรรมใหม่นะครับ ที่ตอบสนองความต้องการของประเทศ ตอบสนองความต้องการของสังคม และการดำรงชีวิตของคนไทย โดยพึ่งพาองค์ความรู้ต่างๆ จากภายนอก เราอาจจะต้องพึ่งในระยะแรกๆนะครับ จนทำให้เกิดนวัตกรรมที่เกิดขึ้นโดยคนไทย ผลิตเอง คิดเองนะครับ เพื่อคนไทย ใช้เองก่อน แล้วขยายผลไปสู่การส่งออกนวัตกรรม อื่นๆ นะครับ ไปยังตลาดที่มีความต้องการใกล้เคียงกัน

โดยเราต้องไม่ลืมการสร้างเครือข่าย การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ อย่างครบวงจร ตั้งแต่ “ต้นทาง” แหล่งผลิต ภาคเกษตรกรรม “กลางทาง” ภาคอุตสาหกรรม การแปรรูป การสร้างผลิตภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม และไปสู่ปลายทาง คือการหาตลาด และการจับคู่ทางเศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งก็จะเป็นการกระจายรายได้ โดยเชื่อมโยงจากชุมชน ชนบท จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ EEC CLMVT อาเซียน ประชาคมโลก ได้ในที่สุด

ทั้งนี้ปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ส่วนหนึ่งคือ แหล่งน้ำและพลังงานไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้คำนึงถึง และพยายามสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ กับประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตร เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “สตึงมนัม” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย และ กัมพูชา โดยการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แทนการปล่อยน้ำทิ้งเพื่อผลักดันน้ำเค็ม ประมาณ 1,000ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ซึ่งก็จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 24 ถึง 50 เมกกะวัตต์ สามารถผันน้ำมาใช้ได้ 300 ถึง 500 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งจะสามารถรองรับการพัฒนาต่างๆ ใน EEC ของเรา และสร้างความมั่นคงทางพลังงานและน้ำ ในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศ ได้ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งน่าจะสำเร็จได้ ประมาณปลายปี 2566 นะครับ

อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือ “ความยาก ง่ายของการประกอบธุรกิจในประเทศไทย” ในมุมมองของธนาคารโลก ที่ได้ให้คำแนะนำและข้อคิดเห็น ที่เป็นประโยชน์แก่ไทย โดยเห็นว่ารัฐบาลนี้ มีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงในการเร่งรัดจัดระบบ และปฏิรูปงานบริการของภาครัฐ เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนในประเทศไทย

เห็นได้จาก การที่รัฐบาลเปิดกว้างรับฟังปัญหาจากภาคเอกชน เพื่อให้รัฐบาลและภาคเอกชนสามารถปรับตัวเข้าหากัน อันเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งผมได้ย้ำอยู่เสมอนะครับ ว่าเรายินดีต้อนรับนักลงทุนจากต่างชาติ ยินดีสนับสนุนนักลงทุนในประเทศ พร้อมทั้งเร่งรัดให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมผลักดันให้อันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยนั้นดีขึ้น

ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งเป้าให้การยกระดับการจัดอันดับความยาก-ง่าย ของการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ให้ขยับอันดับมาอยู่ในกลุ่ม 30 อันดับ แรกให้ได้นะครับ โดยกำหนดเป็นแผนระยะสั้น ระยะ กลาง ระยะยาว ซึ่งมีทั้งหมด 79 กิจกรรม ที่เราต้องแก้ไขนะครับ เราได้ปรับแก้ไปแล้วระหว่างนี้ 26 กิจกรรม ที่เหลือก็ทยอยดำเนินการทำกันอย่างต่อเนื่องนะครับ ภายใต้การบูรณาการ ของการทำงานของภาครัฐกับภาคเอกชน และความร่วมมือกับธนาคารโลก อีกด้วย

ยกตัวอย่าง ความคืบหน้าการปรับปรุงพัฒนาขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งสามารถลดทั้งขั้นตอนการจดทะเบียน, ย่นระยะเวลาการจดทะเบียนและลดค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนลงได้ กล่าวคือ สามารถลดขั้นตอนจากเดิม 5 ขั้นตอน ใช้เวลา 25 วัน ครึ่ง นะครับ เหลือเพียง 3 ขั้นตอน ใช้เวลาเพียง 2 วัน

และลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการจากเดิม 6,600 บาท เหลือเพียง 5,800 บาท เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถสร้างความประทับใจแก่ธนาคารโลก จากการให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน มาอย่างต่อเนื่อง

โดยผู้อำนวยการธนาคารโลกฯ ได้แสดงข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยควรจัดทำเว็บไซต์ ที่เป็นแหล่งรวมข้อมูล เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนต่างชาติ ที่สนใจลงทุนในไทย สามารถมีแหล่งข้อมูลที่เข้าถึงง่ายและสะดวกรวดเร็วนะครับ

รวมทั้ง อยากให้รัฐบาลไทย เพิ่มช่องทางการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นักลงทุนต่างชาติ เกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการบริการต่างๆ ของภาครัฐ อีกด้วย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี ที่สำคัญคือ สอดคล้องการสิ่งที่รัฐบาลนี้ กำลังดำเนินการอยู่ และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

เราทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้เร็วที่สุดนะครับ ก็ขอฝากหน่วยงานหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ก็ถือว่าเป็นนโยบายและเป็นการสั่งการจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วยนะครับ ขอให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน มันเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และกฎหมายอีกหลายฉบับด้วย นะครับ

 

พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ

ในการสร้างการรับรู้เพื่อความเข้าใจกันนั้น มีความสำคัญ ในเรื่องของความเข้าใจระหว่าง นักเรียน – นิสิต – นักศึกษา และ ประชาชน นั้น ผมอยากให้หาเวลาออกไปพบปะ พูดคุยกันนะครับ ทั้งใน กทม. และในท้องถิ่น จังหวัดต่างๆด้วยนะครับ ทั้ง อบจ. – อบต. – เทศบาล – กำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำท้องถิ่น – ปราชญ์ชาวบ้าน ในแต่ละพื้นที่ของตนเอง ให้ทุกคนได้ทราบถึงการทำงานของพี่น้องข้าราชการ หน่วยงานต่างของภาครัฐ ทุกประเภท จะได้เข้าใจร่วมกัน ได้ถามไถ่ไขข้อข้องใจ ในการที่จะเข้ามาร่วมมือกันในกระบวนการสร้างความเข้าใจ เกิดการมีส่วนร่วม อย่างแท้จริง บนพื้นฐานหลักคิดที่ถูกต้อง

ผมอยากให้เป็นการ “สื่อสาร 2 ทาง” เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ – เข้าใจ ในประเด็นของข้อกฎหมาย – กฎระเบียบต่างๆ ที่ส่วนราชการต้องปฏิบัติ ถ้าไม่เข้าใจกันก็จะมองว่าล่าช้าไม่เป็นธรรมอะไรต่างๆเหล่านี้ ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าระเบียบมันว่ายังไงนะครับ รวมไปถึงเรื่องการให้บริการ, การตอบสนองความต้องการ การสร้างความพึงพอใจ ถ้าปรับเข้าหากันได้ มันก็จะสะดวกขึ้นนะครับ และก็เข้าใจกันมากขึ้น

ก็ไปสู่การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ขอให้ทุกคนทุกฝ่าย ได้สามารถเสนอข้อคิดเห็น ซักถาม ข้อสงสัยนะครับ อันนี้ก็ฝากข้าราชการในพื้นที่ทุกคนด้วยนะครับ กทม.ด้วย มันก็จะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ เป็นส่วนรวม ทั้งนี้ผมต้องการให้เกิดการอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างสันติสุข มีความพึงพอใจ มีความปรองดองร่วมมือกัน และมีประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลเกิดขึ้น ในอนาคตนะครับ

ขอให้ คสช. ได้ช่วยสนับสนุน และ ดูแลกิจกรรมเหล่านี้ด้วยนะครับ กระทรวงศึกษา ครู อาจารย์ต่างๆทั้งหมดนะครับ ทุกภาคส่วน ขอให้ช่วยกันในเรื่องนี้ คุยกันให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปเปิดเวทีอะไรมากมาย คุยกันในหมู่บ้าน ในชุมชน ในครอบครับอะไรต่างๆ เหล่านี้ว่า เออปัญหาประเทศไทยมันอยู่ตรงไหน และวันนี้รัฐบาลทำอะไรไปบ้าง อะไรที่ยังทำได้ไม่ดีหรือทำดีก็พูดกันถึงกันบ้าง อย่างน้อยมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดพื้นฐานกันได้นะครับ

ผมอยากให้ย้อนกลับไปดูในอดีต ว่าปัญหามันเกิดอะไรขึ้น และรัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น บางอย่างสำเร็จ เร็ว – ช้า ก็ตามความยาก – ง่าย ปัญหาที่มีความซับซ้อนกัน มันก็ยากหน่อย เพื่อจะไปสู่การปฏิรูปประเทศ ที่สำคัญก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปประเทศนั้นต้องการการเรียนรู้ นอกจากระบบการศึกษาที่เรากำลังปฏิรูปกันอยู่ เราต้องปฏิรูปทางความคิดไปพร้อมๆ กันด้วย โดยการสร้างหลักคิด กระบวนการคิด ที่เป็นเหตุเป็นผล มีการคิดวิเคราะห์ที่ถูกต้อง โดยต้องเริ่มที่ตนเองก่อนเสมอ

นอกจากนี้ เราจะต้องเข้าใจกัน เชื่อใจกัน ไม่อย่างนั้น ก็จะเกิดการโทษกันไปมา และไม่เกิดความร่วมมือ ก็จะไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ไม่ได้ผลลัพธ์เป็นรูปธรรมเสียที เหมือนลักษณะที่เราเรียกว่า “ย่ำเท้าอยู่กับที่” เราให้ความสำคัญกับการศึกษาทั้งระบบ และต้องให้ความสำคัญกับการสร้างการเรียนรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสนใจ เป็นลำดับแรกๆ คุณภาพของคน – ข้าราชการ ทั้งหมดจะต้องมีหลักคิดที่ “ร่วมกัน” ที่ถูกต้องร่วมกันเสียก่อน มากกว่าการที่จะกล่าวอ้างแต่ “ประชาธิปไตย” อย่างเดียว

สำหรับเรื่องนี้ มีความสำคัญนะครับต่อการปฏิรูปทางการเมืองด้วย ก็อยากให้ทุกคนได้ร่วมมือกัน เราต้องการความคิดพื้นฐานของสังคม เพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราทุกคน ทุกฝ่าย ต้องช่วยกันผลักดัน อย่าปล่อยให้รัฐบาล ข้าราชการ ทำเพียงลำพัง ภาคเอกชน – ภาควิชาการ – ภาคประชาสังคม รวมทั้งท้องถิ่น ต้องยื่นมือมาจับกัน เชื่อมโยงกัน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่ามองเห็นปัญหาแต่เพียงอย่างเดียว ต้องหาว่าเราจะแก้ปัญหากันอย่างไรในส่วนตนเองรับผิดชอบ และเราต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ มีเป้าหมายอันเดียวกัน ภายใต้วิสัยทัศน์ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ มันจะไม่มีพลัง ไม่มีทิศทางี่เหมาะสมถูกต้อง

แนวโน้มโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ควรจะ “ลดขนาด เพิ่มประสิทธิภาพ” เราต้องมาคิดดูว่าจะทำได้อย่างไร การเพิ่มขนาดหน่วยงานราชการ สิ่งที่ตามมา คือ ปัญหาด้านงบประมาณเป้นสิ่งที่จะต้องพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเราสามารถประสาน “พลังประชารัฐ” ได้อย่างแน่นแฟ้น เป็นเนื้อเดียวกัน เราก็อาจจะมีส่วนช่วยให้หน่วยงานราชการลดอัตราลงไปได้ ลดขนาดองคาพยพ ลดการใช้จ่ายภาครัฐลงได้ ค่าใช้จ่ายประจำต่างๆ ลดลงนะครับ เราจะได้นำงบประมาณเหล่านั้นไปใช้ในการจัดหาสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้ระบบดิจิตอล มาช่วยเสริมการให้บริการ และการบริหารจัดการภาครัฐ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่จะช่วยลดขนาดโครงสร้างภาครัฐ ให้มีขนาดเล็กลง และทำงานได้มีประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิม เช่น แอปพลิเคชั่นต่างๆ บนมือถือ ของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งผมได้แนะนำไปเป็นระยะๆ แล้ว นะครับ

อีกประการหนึ่งใน การปฏิรูปนั้นเราต้องอาศัยการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน โดยต้องมีแผนการปฏิรูป โดยยุทธศาสตร์กระทรวง ทุกกระทรวง เป็น “ตัวขับเคลื่อน” จนบังเกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้ การคิดอย่างเดียวนั้นไม่ยาก แต่ถ้าการคิดและพูดโดยไม่ลงมือทำยิ่งเป็นเรื่องง่าย พอถึงเวลาทำมันก็จะติดปัญหาลงมือปฏิบัติไม่ได้นะครับ ถ้าเราจะทำให้มันสำเร็จ เรา ต้องเริ่มตั้งแต่การขีดเขียนแผน ที่มีความชัดเจน ให้ทุกคน ทุกฝ่าย สามารถทำงานร่วมกันได้ เป็นขั้นเป็นตอน มีการประสานสอดคล้อง มีการบูรณาการกัน ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน

ที่ผ่านมาจึงไม่มีใครอยากจะทำแบบนั้น ทุกรัฐบาลก็ไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเรื่องปัญหาใหม่ด้วยไง เพราะปัญหามันซับซ้อน พอแกะออกมาปัญหามันมากกว่าเดิมนะครับ ก็ไม่มีใครอยากจะแกะ รัฐบาลนี้พยายามนะครับ พยายามจะทุ่มเทในการแก้ปัญหายากๆ ที่จะเป็น ต้นตอของปัญหาปากท้องของประชาชน อย่างจริงจัง เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ผ่านมา วันนีเราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งระยะสั้น ระยะยาว ด้วยนะครับ เพราะเวลาแต่ละรัฐบาลก็สั้นนะครับ อาจจะแค่ 4 ปีเต็มที่นะครับ หรืออาจจะไม่ถึง เพราะฉะนั้นก็แน่นอน ก็คงต้องทุ่มเทให้กับนโยบายที่มีผลทางการเมืองไปด้วย มากกว่าการที่จะมุ่งหวังแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างยั่งยืน เพราะเป็นสิ่งที่ยาก อย่างที่ได้ กล่าวไปแล้ว

แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ นะครับ คสช. กำลังดำเนินการอยู่ โดยเราจะสร้างกลไกการทำงานงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน หลายองค์กร ที่มีหลายกฎหมาย ของแต่ละหน่วยงาน “ที่เป็นอุปสรรคระหว่างกัน” ที่เดิมเคยแก้ตรงนี้ ไปติดตรงโน้น ก็ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง เราต้องมองปัญหาให้ครบทุกมิติ รอบด้าน จะทำอะไร ก็ต้องดู “คนข้างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” ไว้ด้วย นะครับ

อาทิเช่น การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ, การทำ One map ให้ใช้มาตราส่วนเดียวกัน, การทำผังเมือง – จังหวัด ทั้งประเทศ ที่นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม อย่างเช่นที่ภาคใต้ไม่ให้เกิดซ้ำรอย ที่จะต้องแก้ไขที่หลังมากกว่า 100 จุด ในเวลาเดียวกันแล้ว ซึ่งจะช่วยให้สามารถกำหนดการขยายตัวของเมือง ที่จะต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ รวมทั้งการกระจายตัวของประชากร ให้มีที่ดินทำกิน มีที่อยู่อาศัย มีงาน มีรายได้ โดยไม่ไปกระจุกตัวในเขตเมือง หรือ ในกรุงเทพมหานคร นะครับ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสังคม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาทางเศรษฐกิจ อีกหลายๆ อย่างที่ตามมาด้วยนะครับ ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน หากเราไม่ได้รับการแก้ไขในวันนี้ นะครับ

และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำ กำลังวางราฐาน กำลังเริ่มวางยุทธศาสตร์ระดับชาติ – ระดับนโยบาย เพื่อให้เป็น “เข็มทิศนำทาง” ไปสู่ “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ไว้ให้ก่อน ด้วยเวลาที่จำกัด ที่เรามีอยู่ ดังนั้น ผมจึงต้องขอให้ทุกคนเข้าใจ ขอความร่วมมือ ขอเวลาในทำงาน และขอให้อดทนนะครับ เพราะการปลูกต้นไม้ กว่าจะออกดอกออกผล ยังต้องอาศัยเวลา ยิ่งมีโรคต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ต้นไม้ก็โตไม่ค่อยได้นะครับ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพืช ผัก ผลไม้ ประเภทใด ก็เช่นกัน นะครับ “การสร้างชาติ – การวางรากฐานเพื่ออนาคต” ก็เป็นฉันนั้น นะครับ

สำหรับการเตรียมการสำหรับทำงานการเมือง หรือการเดินหน้าประเทศสู่ประชาธิปไตยในอนาคต เราคงไม่จำเป็นต้องทำลาย – ลบล้าง สิ่งที่ คสช. วางรากฐาน หรือปรับไว้หลายอย่าง ก็ทำให้ท่านทั้งหมดนะครับ ที่เราพยายามปรับสิ่งที่ “เอียง” ให้ค่อยๆ “ตั้งตรง” พร้อมกับเสริมความเข้มแข็งเข้าไป อย่างต่อเนื่อง เหมือนที่ผมพูดตั้งแต่ 22พฤษภาคม 2557 นะครับ อย่างไรก็ตาม ก็อาจจะมีคนที่ไม่เห็นชอบ ไม่เห็นด้วย แล้วพยายามทำลาย – เซาะให้เอนเอียง เหมือนเดิม – อีกครั้ง เพื่อแสวงหาหนทางเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และให้ประชาชนกลับไปสนับสนุน – เป็นฐานเสียง

โดยไม่ได้มุ่งหวังให้ประชาชนเข้มแข็ง – ช่วยตัวเองได้ วันหน้าก็คงต้องพึ่งพารัฐ หรือฝ่ายการเมืองเหมือนเดิม อันนี้เป็น “จุดอ่อน” ของประชาธิปไตยของประเทศไทยนะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ขอทุกคนไปใคร่ครวญด้วย รวมถึง เราไม่อาจสร้างธรรมาภิบาลเกิดขึ้นได้จริง ในการบริหารราชการมาตลอดมานะครับ

รัฐบาลนี้ พร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยของเรา ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย “ที่แท้จริง” ไม่ใช่เป็นเพียง “พิธีกรรม” เหมือนการเลือกตั้ง ที่แต่เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญ มากกว่าหลักการต่างๆอันเป็นสาระ

วันนี้ผมยินดีที่มีนักการเมืองหลายท่าน ออกมาพูดในเรื่องที่สร้างสรรค์ เช่น เราจะต้องร่วมมือกัน ขจัดคนไม่ดีออกไปจากการเมืองไทยให้ได้ เราต้องมีการพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน – คนไทยครับ ว่าเราต้องการจะหลุดพ้นจาก “กับดัก” หรือ “วังวนแห่งปัญหา” ให้ได้ หรือไม่ อย่าทำให้นักการเมืองดีๆ ที่ก็มีอยู่เยอะ หรือคนที่คิดว่าจะมาเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ – ทางเลือกใหม่ ต้องเสียกำลังใจ เสียความตั้งใจ หรือเกิด “วิกฤติศรัทธา” ที่จะเข้ามาทำงานช่วยชาติ

ผมอยากให้พี่น้องประชาชน ใช้คำสอนทางศาสนา ทุกศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็น “แสงสว่างนำทาง” ในการอยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง และสันติสุข พร้อมทั้ง ร่วมกันปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ และร่วมกันสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง “เชิงบวก” และสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ให้จงได้ ทั้งนี้ เพื่อการปฏิรูปประเทศ และการเลือกตั้งในอนาคต ที่ผมถือว่าเป็น “วาระชาติ” โดยขอให้พวกเราทุกคนอดทน เข้มแข็ง นะครับ

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง, รัฐบาลยอมรับว่า ถึงแม้ตัวเลขประเมินทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น ในภาพรวม แต่อย่างไรก็ตาม การกระจายรายได้ ยังทำได้ไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องแสวงหามาตรการ มาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะอจจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ยังไม่ได้อะไรจากรัฐบาล ยอดซื้อ - ขายสินค้าบางอย่างตกลง แสดงว่าประชาชนขาดกำลังซื้อ รัฐบาลพยายามทำทุกอย่าง ซึ่งอาจทำได้ไม่รวดเร็วนักเพราะเราต้องระมัดระวัง เรื่องข้อกฎหมายต่างๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญ

ประกอบกับ ในมาตรการใหม่ๆ อาจมีการบิดเบือน - ให้ร้าย จนไม่เข้าใจ เกิดความร่วมมือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะความยากจน เพราะผู้มีรายได้น้อย ลำบากนะครับ วันนี้ก็อาจมีการให้คำสัญญา จากนักการเมืองที่ไม่ดี มาใช้โอกาสนี้ สร้างความเข้าใจผิด เหมือนเดิมๆ บอกว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ วันหน้ามื่อเข้ามาแล้ว ก็เป็นการแก้ไขปัญหาชนิดที่เป็นการแก้ปลายเหตุเช่นเดิม ประชาชนก็เลยจะรู้สึกว่าน่าจะดีขึ้น นะครับ

ผมก็ไม่อยากจะบอกว่าใครผิด - ใครถูก มันต้องทำไปพร้อมๆ กัน จึงจะเกิดความยั่งยืน ทั้งแก้ไขความเดือดร้อน ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก รัฐต้องหาเงินมาให้เพียงพอ ไปพร้อมกับการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆเป็นทางเลือก เป็นโอกาส ให้ประชาชน หลายอย่างที่เป็นมาตรการออกไป บางอย่างอาจจ่ายตรงไม่ได้ ติดขัดข้อกฎหมาย เช่นที่เคยเกิดขึ้น เป็นคดีความต่างๆ และเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน หากเราไม่รอบคอบ ไม่ระวังเท่าที่ควร อาจเกิดปัญหาในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็จะพยายามหามาตรการที่เหมาะสม มาแก้ไขให้ได้โดยเร็ว เราต้องเลือก หรือผสมกันให้ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเราก็จะไม่ทำสิ่งที่ผิดให้มันถูกต้อง ก็ทำสิ่งที่ถูกให้มันถูกขึ้น หรือถูกมากกว่า และรวดเร็วทันเวลา นะครับ ทำสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม เราต้องคิดเสมอว่า ทำอย่างไร คนรายได้น้อยจะไม่รู้สึกว่าเรายังไม่ได้แก้ปัญหาให้เขา เราต้องช่วยกัน ต้องเร่งทำงานในลักษณะประชารัฐ ก็ขอฝากไปยังข้าราชการทุกภาคส่วน เอกชน ธุรกิจเอกชนก็ต้องช่วยกันด้วยนะครับ หลายๆส่วน ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือมันก็จะเร็วขึ้นนะครับ รอรัฐอย่างเดียว มันไม่ไหว นะครับ เพราะว่าเราต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องช่วยกันแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ด้วย

ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ รถไฟทางคู่ รถไฟไทย - จีน รถไฟฟ้า ถนนโทลเวย์ เราก็คงต้องเร่งทำ แต่มีข้อโต้แย้ง – มีคำคัดค้านมาตลอดเวลา วันนี้อยากจะเรียนว่า มันไม่ใช่เวลาปกตินะครับ เราต้องเร่งดำเนินการ ก็ขอฝากทำความเข้าใจด้วยนะครับ ถ้าท่านจะโต้แย้ง แล้วก็ทำใหม่ทั้งหมด ทำแบบเดิมๆ ก็ เอาไว้ไปทำตอนเป็นประชาธิปไตยแล้วกันนะครับ มันจะได้ทำไม่ได้อยู่เหมือนเดิมนะครับ เราคิดแบบเดิม ทำแบบเดิม จะไม่ทันการณ์ ในเวลานี้ เรากำลังปฏิรูปประเทศ กำลังเปลี่ยนผ่าน บางอย่างก็เข้าใจด้วยนะครับ

การใช้จ่ายภาครัฐ เราก็ต้องทำผ่านส่วนราชการซึ่งก็ยังคงมีข้อขัดข้อง ล่าช้าด้วยระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณ มีขั้นตอนจำนวนมากนะครับ บางอย่างตัดออกไม่ได้ เพราะเป็นผลทางกฎหมาย ถ้าประชาชนเข้าใจ ไม่มีปัญหาหรอก หลายคนมองว่า มีอำนาจพิเศษทำไมผมทำไม่ได้ แล้วผมไม่ต้องฟังเสียงคนส่วนใหญ่ด้วยหรือ ก็ต้องฟังไปพร้อมๆกันส่วนใหญ่ส่วนน้อย แต่ว่าถ้าจะให้ทำผมจะทำให้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบ จากเสียงส่วนใหญ่ว่ามันควรจะทำนะ มันควรจะมีความเปลี่ยนแปลงบ้างนะ มันควรจะมีการที่จะลดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น เหมือนเดิมนะครับ การต่อต้านเหมือนเดิม การประท้วง การคัดค้าน แล้วมันจะแก้ไขอะไรได้บ้างละครับ ก็กลับไปที่เก่าหมดน่ะแหละ

เพราะฉะนั้นก็ ถ้าอยากจะให้ผมใช้อำนาจที่มันถูกต้องก็บอกผมมานะครับ ว่าพร้อมที่จะให้ผมทำแบบนั้น แต่ผมก็รับรองว่าผมจะไม่ทำในสิ่งที่ผิดนะ จะทำให้มันดีขึ้นถ้ามันจำเป็นนะครับ อันนี้เราก็ต้องระวังอีกอันก็คือ การตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ นะครับในสื่อโซเชียล วันนี้ก็กว้างขวางมากมาย ถูกบ้างผิดบ้าง ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง และการปฏิบัติงานขององค์กรอิสระ ก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันนะครับ

ก็ฝากทุกคนนะครับที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าหากว่าทุกคนทำหน้าที่ของตนแล้วมันขัดขวางกันไปทั้งหมดมันก็ไปไม่ได้ทั้งหมดนะครับ หาสิ่งที่ถูกต้องแล้วทำไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ

การลงทุนในประเทศนั้นมันเกิดขึ้นไม่ทันเวลาในวันนี้มากนัก สาเหตุอาจเนื่องมาจากเศรษฐกิจของโลกด้วย ที่ผ่านมาในประเทศส่วนใหญ่ก็เป็นการลงทุนที่อาจจะไม่เกิดมูลค่ามากนัก ไม่เกิดสินค้าใหม่ๆ ส่วนใหญ่เป็นการขยายกิจการในประเภทเดิม เลยทำให้รู้สึกว่า ขายสินค้าได้น้อย แข่งขันไม่ได้ กำลังซื้อตกเข้าไปอีกนะครับ รัฐบาลก็กำลังปรับแก้ตรงนี้อยู่นะครับ

สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้การจ้างงานเกิดปัญหา อาจจะมีการเลิกการประกอบการในธุรกิจที่ล้าสมัย หรือมีการย้ายฐานการลงทุนไปในประเทศที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า หรือมีค่าแรงน้อยกว่า ทำนองนี้นะครับ อีกทั้งต้องมีการแข่งขันการเรียกการลงทุนจากต่างปรเทศมากขึ้น เราก็ต้องไปปรับแก้ไปด้วยนะครับ ถ้าคิดแบบเดิมๆ รักษาแบบเดิมๆ มันไม่ได้ทั้งหมดนะครับ

มันต้องปรับแก้ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ทั้งการลงทุนในประเทศ และการลงทุนต่างประเทศ มันก็จะมีผลกับรายได้การจ้างงาน รัฐบาลทราบดีนะครับ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นปัญหาเชิงซ้อนที่รัฐบาลต้องแก้ปัญหา ทั้งที่เป็นฟังก์ชั่นและการแก้ปัญหาแบบองค์รวม รัฐบาลได้พยายามมา 3 ปีแล้วนะครับในการที่จะแก้ไขให้ได้อย่างยั่งยืนจนประชาชนอาจจะรู้สึกว่ามันช้าเกินไป เราพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้ได้โดยเร็วนะครับขอให้เข้าใจและร่วมมือกันไปอีกระยะหนึ่งนะครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมเป็นกำลังใจแก่ นักร้อง - นักดนตรีตาบอด ในนาม “ศิลปิน S2S” (จากถนนสู่ดวงดาว) พร้อมด้วยศิลปิน AF (Academy Fantasia) ใน “ฟรี” คอนเสิร์ต S2S : Light of Love ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 นาฬิกา เป็นต้นไป

นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่สะท้อนถึงความเท่าเทียมในสังคม บนเวทีการแสดง ไม่ว่าจะเป็นนักร้องที่บกพร่องจากการมองเห็น หรือศิลปินชั้นนำ – นักร้องอาชีพ ก็ไม่ได้มีความเหลื่อมล้ำกันแต่อย่างใด เป็นเรื่องของความสามารถ – ทักษะ – และการฝึกฝน จนประสบความสำเร็จ โดยทุกท่านสามารถสำรองที่นั่งได้ ตามรายละเอียดด้านล่างของจอโทรทัศน์
(โทร. 02-354-3892 ถึง 3 หรือ www.dep.go.th)

การดำเนินการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการจัดระเบียบสังคม โดยควบคุมการขอทาน ซึ่งมีที่มาที่ไม่ปกติ – ผิดกฎหมาย แยกออกจากกลุ่มบุคคลที่แสดงความสามารถในที่สาธารณะ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นนักร้อง – นักดนตรี “คนตาบอด” เพื่อนำพาเข้าสู่โครงการพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ หรือ S2S ตามที่กล่าวไปแล้ว เพื่อเตรียมไปสู่การเป็นนักร้องระดับอาชีพ ในสังกัดค่ายเพลงที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้ง การออกอัลบั้มเพลง หรือเล่นดนตรี เป็นต้น ก็ขอเชิญชวนทุกคน ไปให้กำลังใจกันเยอะๆ นะครับ

 

ฟังรายการย้อนหลังผ่านยูทูป ช่องวีดีโอ chorsaard

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้