Last updated: 12 ธ.ค. 2560 | 4001 จำนวนผู้เข้าชม |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2559 เวลา 20.15 น.
------------------------------
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม ประเทศชาติ และพสกนิกรชาวไทย ได้ประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือ “พระมหากษัตริย์” ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา อย่างสูงสุด แก่พสกนิกรของพระองค์ และถึงพร้อมด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ดุจ “พระมหาชนก” หากเพียงคนไทยทุกคน แบ่งปันความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน แม้เพียงเศษเสี้ยวความรักของพระองค์ ที่มีต่อประชาชน และแม้เพียงคนไทยทุกคน มีความเพียรสร้างความดี ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนร่วม สังคม และประเทศชาติ แม้เพียงเศษเสี้ยว ที่พระองค์ทรงมีแล้ว “คนไทย” ก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก “ประเทศไทย” ก็จะเป็นประเทศที่มีความเจริญ มั่นคง ที่สุดในโลกเช่นกัน
ในเวลานี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชบัณฑูร ให้จัดการพระราชพิธีพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติ และถูกต้องตามแบบแผนโบราณราชประเพณี รวมทั้งทรงรับสั่งให้ขอพระราชวินิจฉัย จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องพิธีการ ตลอดจนการก่อสร้างพระเมรุ และศาลาทรงธรรม สำหรับการประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ จากที่ได้ทรงมีพระราชบัณฑูรไว้ก่อนแล้ว พร้อมทั้งดูแลทุกข์สุขของประชาชนในช่วงนี้ให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้คำมั่นว่า จะปฏิบัติภารกิจสำคัญยิ่งนี้ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน เพื่อให้การพระราชพิธีพระบรมศพสมพระเกียรติ เทิดไว้ซึ่งพระเกียรติยศ และพระเกียรติภูมิอันสูงส่ง
ผมและรัฐบาลขอให้คำมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่สานต่อพระราชภารกิจ และสนองพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ด้วยความจงรักภักดีเสมอด้วยชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา รวมทั้งขอปฏิญาณตนว่า จักจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
รายการวันนี้เป็นต้นไป อาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและชื่อรายการไปบ้าง แต่สาระสำคัญก็ยังคงมีเหมือนเดิม โดยผมจะนำสิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานไว้ ทั้งพระราชดำรัส พระราชดำริ และสิ่งที่ทรงทดลอง ทรงทำไว้และเกิดผลตลอดมาอย่างยั่งยืน ผมจะนำสิ่งที่รัฐบาลได้ยึดถือปฏิบัติใช้เป็นหลักการและแนวทางในห้วงกว่า 2 ปี ที่ผ่านมาว่า มีความสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยง และสนับสนุนกับวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติได้อย่างไร ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนทราบว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ “พระราชดำริ” คือแนวคิดและปรัชญา “พระราชดำรัส” คือ คำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ “พระราชกรณียกิจ” คือ หลักการทรงงาน และ “พระราชจริยวัตร” ของพระองค์ คือ การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ปวงพสกนิกรชาวไทย ซึ่งจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป ด้วยพระองค์ได้ทรง “พูดให้ได้คิด สอนให้เกิดปัญญาและทำให้เห็นประจักษ์” ด้วยพระองค์เองตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ “ศาสตร์พระราชา” เหล่านั้น สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่การประกอบกิจวัตรประจำวัน และสัมมาชีพของแต่ละ “บุคคล” ไปจนถึง การบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างและพัฒนาประเทศให้ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลและข้าราชการทุกคน
ทั้งนี้ “ศาสตร์พระราชา” ซึ่งได้รับการยกย่อง ในเวทีระดับโลก และสอดคล้องกับ “วาระของโลก” คือเป้าหมาย “การพัฒนาที่ยั่งยืน”ขององค์การสหประชาชาติ (SDG 2030) คือ 15 ปีข้างหน้านี้ ได้แก่ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มากว่า 40 ปี และได้รับการเชิดชูสูงสุด จากองค์การสหประชาชาติ โดยนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์” เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่า เป็นปรัชญาที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่ชุมชน สู่สังคม ในวงกว้างขึ้นในที่สุด โดยองค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกทั่วโลก ได้ยึดถือเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน
ในส่วนของรัฐบาลเองนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ของการบริหารบ้านเมือง ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น
การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” สร้างความเข้มแข็งให้กับ “ครอบครัว” ซึ่งเป็นสถาบันสังคมที่เล็กที่สุด แต่เป็นสถาบันที่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นหน่วยสังคมแรกที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน และหล่อหลอมชีวิตของคนในครอบครัว เป็นแหล่งผลิตคนเข้าสู่สังคมต่อไป
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งนอกจากเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน และความไม่ประมาทต่อความเสี่ยงในอนาคต ด้วยการวาง “แผนการออมเพื่อการเกษียณ” ตั้งแต่ช่วงวัยทำงานแล้ว ยังเป็นการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมไทย ในการเข้าถึงระบบบำนาญของประเทศ สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ รายได้น้อย แต่ไม่มีระบบบำนาญใด ๆ รองรับ ไม่เหมือนภาครัฐ ที่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือภาคเอกชน ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นต้น ซึ่งการส่งเสริมให้ประชาชน น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในระดับครอบครัว สามารถผ่อนคลายปัญหาระดับชาติได้นั้น สอดคล้องกับ “หลักการทรงงาน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่า “การแก้ปัญหาจากจุดเล็ก” กล่าวคือ การมองปัญหาในภาพรวมก่อนเสมอ และการแก้ปัญหาจะเริ่มตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองข้าม
สำหรับการ “ต่อยอด – ขยายผล” หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับภูมิภาค และระดับโลก ทั้งในเวที G77 G20 และ ACD ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้นำเสนอผลสำเร็จ ในการพึ่งพาตนเอง สร้างความเข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับฐานราก เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสมดุลในทุกมิติ รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผ่าน “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาต่าง ๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 แห่ง ตามภูมิภาคที่แตกต่าง ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ. ฉะเชิงเทรา ห้วยทราย จ. เพชรบุรี อ่าวคุ้งกระเบน จ. จันทบุรี ภูพาน จ. สกลนคร ห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ และพิกุลทอง จ. นราธิวาส อย่างไรก็ตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากแต่ละประเทศมีบริบท ขีดความสามารถ ข้อจำกัด ที่แตกต่างกันออกไป แต่ละประเทศจึงจำเป็นต้องประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์และองค์ความรู้ ซึ่งกันและกันได้ เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงาน “สีเขียว” เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะสืบสานพระราชปณิธานผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีมากกว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศให้ยังคงอยู่ อีกทั้ง ได้ขยายศักยภาพ โดยนำหลักการบริหารของ “ศูนย์การเรียนรู้” ประกอบกับการแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้” ของกระทรวงต่าง ๆ เช่น
ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนมากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ
ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 2,000 กว่าแห่ง เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” และการสร้าง Smart Farmer เป็นต้น
ที่สำคัญ คือ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (ระยะ 5 ปี 2559 – 2564) บนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศมีระบบภูมิคุ้มกัน และสังคมไทยเป็นสังคมคุณภาพ
สำหรับ “ศาสตร์พระราชา” ที่เกี่ยวกับน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นพิเศษ ทรงให้ความสำคัญในลักษณะ “น้ำคือชีวิต” ดังพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า“...หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้...”
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทานนั้น นับว่าเป็นงานที่มีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ในการช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี ในปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ซึ่งต้องอาศัยน้ำฝนและน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหลักเท่านั้น ทำให้พืชได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอตามที่พืชต้องการ อีกทั้งความผันแปรเนื่องจากฝนตกไม่พอเหมาะกับความต้องการ เป็นผลให้ผลผลิตที่ได้รับไม่ดีเท่าที่ควรตัวอย่างโครงการ เช่น
โครงการฝนหลวงเนื่องจากทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้งได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ นอกจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงใช้เวลา 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัย ทบทวนเอกสาร รายงานผลการศึกษาและข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่ทดลองในท้องฟ้าเป็น “ครั้งแรก” ในปี 2512 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระองค์ ทรงติดตามการปฏิบัติการฝนหลวง ด้วยพระองค์เองโดยตลอด และได้พระราชทานตั้ง “ศูนย์ฝนหลวงพิเศษ” พร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และคำแนะนำอยู่เสมอ
โครงการแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2538 โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่าง ๆ เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว แล้วบริหารจัดการ “แก้มลิง” ทั้งระบบอย่างบูรณาการ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สำหรับเป็นแหล่งน้ำอุปโภค บริโภคของประชาชน แหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม และการเกษตรในพื้นที่ชลประทาน แหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่และแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ช่วยป้องกันอุทกภัยพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคลองลัดโพธิ์ เป็นการบริหารจัดการน้ำ โดยบูรณาการงานของหลายหน่วยงาน โดยช่วยลดระยะทางการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยาจาก 18 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 600 เมตร นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ รวมอยู่ในโครงการเดียวกันด้วย นับว่า “ 1 โครงการ ได้ประโยชน์ 2 ประการ”
ทั้งนี้ รัฐบาลได้น้อมนำแนวทางแก้ปัญหาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก มาจัดทำเป็น “แผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบ” ระยะยาว 12 ปี ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ “ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง” อาทิ น้ำบาดาลช่วยภัยแล้ง น้ำบาดาลการเกษตร ขุดสระน้ำในไร่นา ประปาหมู่บ้าน ประปาโรงเรียน เป็นต้น โดยดูแลการใช้น้ำ ทั้งน้ำกิน - น้ำใช้ น้ำสำหรับป้อนแหล่งผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ำในการผลักดันน้ำเค็มอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อจะรักษาสมดุลระบบนิเวศน์ ด้วย
นอกจากนั้น เรายังมีมาตรการเสริม เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการน้ำ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ Agri Map เข้ามาช่วยในกระบวนการโซนนิ่ง, การทำเกษตรแปลงใหญ่, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช, การทำไร่นาสวนผสม เป็นต้น ก็สามารถติดตามได้ในศูนย์ของกระทรวงเกษตรสหกรณ์และ จำนวน 882 ศูนย์ ที่ได้จัดตั้งทั่วไปในทุกภาค ทุกพื้นที่ของประเทศไทยในเวลานี้ ไปศึกษาไปแลกเปลี่ยนหรือไปสอบถาม หรือไปนำวิทยาการใหม่ ๆ ที่เขาเตรียมไว้ให้พวกเราทุกคนมาช่วยกันนำไปใช้ มันก็จะลดปัญหาความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเรื่องน้ำ เรื่องการปลูกพืช ไม่ว่าจะราคาพืชตกต่ำอะไรทำนองนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้แก้ปัญหาทั้งวงจร ในเรื่องน้ำก็มีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รวมความไปถึงเรื่องการจัดที่ดินต่าง ๆ เหล่านั้นมีผลผูกพันทั้งสิ้น เรื่องน้ำ เรื่องการเกษตร เรื่องการบุกรุกทำลายป่า การจัดที่ดิน ราคาพืชผลทางเกษตรเหล่านี้เป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงทั้งปัญหาและผลสำเร็จหากเราทำดี ๆ นำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาดำเนินการ ในเรื่องของฝนหลวงนั้น ย้อนกลับมานิดหนึ่งว่า เราก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้สิทธิบัตรฝนหลวงแล้ว 4 ประเทศ ที่พระราชทานให้ ได้แก่ ออสเตรเลีย แทนซาเนีย โอมาน และจอร์แดน คราวนี้ก็กำลังเตรียมการกับภูฎานด้วย
พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ประชาชนทุกคน อีกทั้ง “จิตอาสา” ที่ร่วมกับรัฐบาลและหน่วยงานของราชการ ในการอำนวยความสะดวก และให้บริการแก่พี่น้องประชาชนที่ต่างมีประสงค์จะเดินทางมายังพระบรมมหาราชวัง ทั้งนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นักเรียนจาก โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง นักศึกษาวิชาทหาร จาก โรงเรียนวัดน้อยนพคุณ โรงเรียนโยธินบูรณะ โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ ลูกเสือ เนตรนารี จากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกมาก ซึ่งผมอาจจะกล่าวไม่ได้ทั้งหมดครบถ้วน ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณทุกคนนะครับ รวมทั้งมูลนิธิ องค์กรเอกชน บริษัทห้างร้าน พี่น้องประชาชน และดารา - นักแสดง ที่ได้มาช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ ทั้งช่วย แจกจ่ายอาหาร - เครื่องดื่ม เก็บขยะ รักษาความสะอาด ดูแลการจราจร จัดระเบียบแถว จัดดอกไม้ พยุงดูแลผู้สูงอายุ เข็นรถคนพิการ และช่วยอำนวยความสะดวก ตามกำลังความสามารถ มีการให้บริการตัดผม มีการบริการทางการแพทย์ ตลอดจนแจกจ่ายสิ่งของที่จำเป็นในช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน เกรงว่าพี่น้องจะเป็นไข้ หลายคนที่มาอาจจะมีโรคประจำตัว ถ้าเป็นเด็กก็ใส่ที่อยู่ชื่อผู้ปกครองในกระเป๋าของเด็กไว้ด้วยเผื่อพลัดหลง ในส่วนของผู้เจ็บป่วยมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน โรคลมชัก โรคเบาหวานอะไรก็แล้วแต่กรุณามีรายละเอียดใส่กระเป๋าเสื้อไว้ด้วยเผื่อมีอะไรขึ้นมาจะได้แก้ไขได้ทันเวลา มีอื่น ๆ อีกมากที่อยากให้ทุกคนช่วยกันสร้างการเรียนรู้ว่าเราจะดูแลตัวเอง และดูแลคนอื่นได้อย่างไร ใช้เวลาช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราจะพยายามดูแลพี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศ ซึ่งนับวันก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เดินทางมาแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ บริเวณท้องสนามหลวง
สิ่งดี ๆ เหล่านี้ ผมเห็นว่าเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี แด่ “พ่อหลวง” ของปวงชนชาวไทย ในการเสียสละ การทำดีเพื่อส่วนร่วม เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคมที่เรียกว่า เผื่อแผ่แบ่งปันที่สำคัญคือ การเป็น “ผู้ให้” เหมือนอย่างที่พ่อหลวงของเรา ทรงเป็น “ผู้ให้” แก่พสกนิกรของพระองค์ ตลอดพระชนม์ชีพ ตลอด 70 ปีแห่งการทรงงาน ผมอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทย มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือแบ่งปัน ทั้งในวันนี้ และในวันข้างหน้า การทำดี สามารถกระทำได้ทุกวัน และกับทุกคน ระมัดระวังเรื่องความขัดแย้งด้วย อย่ากระทบกระทั่งกันอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามพูดจากันดี ๆ
ในส่วนของการมี “จิตสาธารณะ” นั้น เป็นสิ่งอันพึงประสงค์ในเวลานี้กับประเทศไทย เพราะเป็นการแสดงออกโดยความสมัครใจ ด้วยศักยภาพของตนเอง เป็นการสะท้อนถึงความเป็นผู้เจริญ ผู้มีอารยะ และมีคุณค่า หน่วยงานภาครัฐ ไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้เลย ถ้าหากปราศจาก “พลังประชารัฐ” ด้วยการสนับสนุน การร่วมมือ จากภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในสังคมที่หลากหลาย เรายอมรับว่า ย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ผสมปนเปกันอยู่ แต่การตัดสินความเห็นต่างว่า “ผิด” ทีเดียวนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ “ถูกต้อง” ก็ต้องมีเหตุผล มีหลักการและเหตุผล มีการตรวจสอบ และข้อสำคัญ คือ สังคมมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากทุกคนเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน รวมทั้งเคารพกระบวนการของศาลสถิตย์ยุติธรรม สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีการขัดแย้งไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ กับประชาชน หรือว่าใครก็แล้วแต่นะครับ เราจะต้องไม่ตั้ง “ศาลเตี้ย” ไม่ตัดสินปัญหา “ด้วยกำลัง” แต่ควรใช้สติ และใช้กฎหมายบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ดูแลด้วย อย่าให้มีการกระทบกระทั่งกันโดยเด็ดขาด ต้องระงับโดยทันทีและสอบสวนว่าเรื่องอะไรกันให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง แล้วก็กรุณาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สังคมทราบด้วย เพราะบางทีแพร่ในโซเชียลมีเดียบางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ไม่จริง บางเรื่องก็ตัดสินคนโน้นถูกคนนี้ผิดไป ซึ่งทำให้อันตรายมันเกิดขึ้นในสังคมของบ้านเราในเวลานี้ ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่าน
ผมอยากให้ทุกคนรวมพลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวต่อไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสืบสานแนวทางพระราชดำริ และสานต่อพระราชปณิธาน ด้วยความรู้ รัก สามัคคีของคนในชาติ มุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้มีข้อมูลข่าวสาร ที่ทุกคนติดตามกันอยู่ในหลาย ๆ แง่มุม ผมขอให้ยึดถือช่องทางสื่อสารของรัฐบาล ตามจอภาพข้างล่างนี้เป็นสำคัญ อย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ เนื่องจากหลายเรื่องมีความอ่อนไหว หลายเรื่องสร้างความสับสน เพราะการแชร์ในสิ่งที่ไม่รู้และไม่จริง นอกจากอาจผิดกฎหมายแล้ว อาจสร้างความเสียหายให้กับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน รวมทั้งประเทศชาติด้วย
สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทย ทั่วทั้งประเทศอีกครั้ง ที่ได้ร่วมกันทั้งร่วมมือ ร่วมใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กุมมือกัน ผ่านห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้า อย่างแสนสาหัสในครั้งนี้ กลับสู่สติที่มั่นคง แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ด้วยปัญญา ด้วยพลัง และด้วยจิตใจอันเข้มแข็ง แน่วแน่ ที่จะสืบสานพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูนของพวกเราทุกคน พระองค์ทรงทอดพระเนตรพวกเราอยู่จากเบื้องบนลงมา แล้วพระองค์ทรงอยู่ในทุกอณูของแผ่นดิน ผืนน้ำ และอากาศ
ขอบคุณครับ /สวัสดีครับ
หมายเหตุ ดาวน์โหลดรายการย้อนหลัง MP3